ศึกฟุตบอลเอฟเอ คัพ รอบ 4 เมื่อคืนวันที่ 5 ก.พ. “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี เปิดรังสแตมฟอร์ด บริดจ์ รับการมาเยือนของ พลีมัธ ทีมจากลีก วัน เกมนี้เจ้าบ้านต้องมอบหมายให้ อาร์โน่ มิเชลส์ ผู้ช่วยทำหน้าที่คุมทีมไปก่อน เนื่องจาก โธมัส ทูเคิ่ล ผู้จัดการทีมตัวจริงต้องกักตัวเพราะติดเชื้อโควิด-19 โดยให้พวกแข้งหลักลงสนามในทุกตำแหน่ง แดนกลางวาง จอร์จินโญ่ คุมเกมร่วมกับ มาเตโอ โควาซิช ส่วนแนวรุกให้ โรเมลู ลูกากู ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า และวาง ฮาคิม ซีเย็ค กับ คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย เป็นปีกริมเส้นทั้งสองฝั่ง ด้านทีมเยือนของกุนซือ สตีเว่น ชูมัคเกอร์ จัดทีมชุดใหญ่ลงสนามไปเลย นำทัพโดย จอร์แดน, เฮาจ์ตัน, แดนนี่ มาเยอร์, จอร์แดน การ์ริค และ ลุค เจ็ปคอตต์
ในช่วงครึ่งแรก พลีมัธ ได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจาก มาเคาลีย์ กิลเลสพี ตั้งแต่นาที 8 แต่เจ้าบ้านตามทวงคืนได้จาก เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ในนาที 41 ส่วนในช่วงครึ่งหลังไม่มีการยิงประตูเกิดขึ้น จบ 90 นาที เสมอ 1-1 จึงต้องเล่นช่วงต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาทีเพื่อตามหาผู้ชนะกันต่อไป และเป็น “สิงโตน้ำเงินคราม” มาได้ประตูชัยจาก มาร์กอส อลอนโซ่ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งแรกตอนต่อเวลาพิเศษไปแล้วหนึ่งนาที หลังจากนั้นทีมเยือนมีโอกาสตีเสมอได้จากลูกจุดโทษ ทว่า ไรอัน ฮาร์ดี้ กลับสังหารพลาดในนาที 118 จบ 120 นาที เชลซี เป็นฝ่ายชนะในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1 ผ่านเข้าสู่รอบ 5 ได้แบบหืดจับ
หลังจบเกม อาร์โน่ มิเชลส์ ผู้ช่วยกุนซือ เชลซี ซึ่งทำหน้าที่คุมทีมแทน โธมัส ทูเคิ่ล พอใจผลงานของลูกทีมที่เอาตัวรอดจนผ่านเข้ารอบไปได้ แต่เอ่ยปากตำหนิแนวรุกที่จบสกอร์กันไม่เฉียบคม และเปิดเผยว่า เมสัน เมาท์ เจอโรคเดี้ยงเล่นเล่นงานในช่วงต่อเวลาพิเศษ จึงต้องตัดสินใจเปลี่ยนตัวออกจากสนามทันที และต้องรอเช็กอาการบาดเจ็บแบบละเอียดอีกครั้ง เพื่อลุ้นว่าจะหายเดี้ยงไปชิงชัยในศึกฟีฟ่า คลับ เวิล์ด คัพ ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีโปรแกรมลงเตะรอบรองชนะเลิศในวันที่ 9 ก.พ.นี้ได้หรือไม่