ศึกฟุตบอลยูฟ่า ยูโรปาลีก รอบน็อคเอาท์ เพลย์ออฟ นัดแรก เมื่อคืนวันที่ 17 ก.พ. “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เปิดรังรังซิกนัล อิดูน่า ปาร์ค ต้อนรับการมาเยือนของ เรนเจอร์ส เกมนี้ มาร์โก้ โรเซ่ กุนซือเจ้าบ้านไร้เงา เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ดาวยิงตัวเก่งยังไม่หายบาดเจ็บ จึงต้องให้ มาร์โก รอยส์, ยูเลี่ยน บรันด์ท และ ดอนเยลล์ มาเลน ลงไปเป็น 3 ประสานในแนวรุก ส่วนแดนกลางยังคงวาง จูด เบลลิงแฮม ยืนคุมเกมเหมือนเดิม ด้านทีมเยือนของกุนซือ โจวานนี่ ฟาน บรองค์ฮอร์สท จัดผู้ดล้นชุดใหญ่ลงสนามไปเลย นำทัพโดย จอห์น ลุนด์สตราม, สก็อตต์ อาร์ฟิลด์, ไรอัน เคนท์ และ อัลเฟรโด้ โมเรลอส
ในช่วงครึ่งแรก เรนเจอร์ส ออกนำไปก่อนถึง 3 ประตูจาก เจมส์ เทเวอร์เนียร์ จุดโทษในนาที 38, อัลเฟรโด้ โมเรลอส ในนาที 41 และ จอห์น ลุนด์สตราม ในนาที 49 เข้าสู่ครึ่งหลัง ดอร์ทมุนด์ ตีไข่แตกได้จาก จูด เบลลิงแฮม ในนาที 51 แต่ทีมเยือนหนีห่างไปอีกเม็ดจาก แดน ซากาดู กองหลังเจ้าบ้านทำเข้าระตูตัวเองในนาที 54 หลังจากนั้น ดอร์ทมุนด์ ไล่ตามมาอีกลูกจาก ราฟาเอล เกร์เรโร่ ในนาที 82 หมดเวลาการแข่งขัน “เสือเหลือง” เป็นฝ่ายแพ้ 2-4 สำหรับนัดที่ 2 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จะต้องออกไปเยือน เรนเจอร์ส ที่ไอบร็อกซ์ สเตเดี้ยม เพื่อลุ้นพลิกสถานการณ์ผ่านเข้ารอบในคืนวันที่ 24 ก.พ.นี้กันต่อไป
หลังจบเกม มาร์โก โรเซ่ กุนซือ “เสือเหลือง” ตำหนิลูกทีมเล่นพลาดกันเอง โดยเฉพาะผู้เล่นในแนวรับที่ผิดพลาดในจังหวะเล็กๆ น้อยๆ จึงเปิดโอกาสให้ทีมเยือนยิงประตูได้ถึง 4 ลูก และยอมรับว่าตอนนี้ทีมของเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเสียแล้ว เพราะเกมนัดที่ 2 ต้องออกไปเล่นนอกบ้านเสียด้วย แต่ยังเชื่อมั่นว่ามีโอกาสที่จะพลิกสถานกาณ์กลับมาเป็นฝ่ายชนะ เพื่อจะได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป แม้จะตามหลังอยู่ 2 ประตู แต่เป็นเพราะว่ายกเลิกกฎประตูทีมเยือนไปแล้ว จึงทำให้ทีมของเขายังมีโอกาสได้ลุ้นอยู่