ศึกฟุตบอลเอฟเอ คัพ รอบ 3 เมื่อคืนวันที่ 9 ม.ค. “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์รับการมาเยือนของ ชรูว์สบิวรี่ ทีมจากลีก วัน เกมนี้เจ้าบ้านได้กุนซือ เจอร์เกน คลอปป์ หายป่วยจากโควิด-19 กลับมายืนคุมทีมที่ข้างสนามอีกครั้ง และจัดทีมแบบชุดผสมให้พวกแข้งหลักอย่าง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ ฟาบินโญ่ ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง รวมถึง 5 แข้งดาวรุ่งลงสนามด้วย
เริ่มเกมไป 27 นาที ชรูว์สบิวรี่ ได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจาก ดาเนี่ยล อูโดห์ หลังจากนั้น “หงส์แดง” ยิงแซงทีเดียว 4 ประตูรวดจาก เคด กอร์ดอน ในนาที 34, ฟาบินโญ่ ในนาที 44, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ในนาที 78 และปิดท้ายด้วยการซัดเบิ้ลของ ฟาบินโญ่ สังหารจุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บไปแล้ว 3 นาที หมดเวลาการแข่งขัน ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายชนะ 4-1 ได้ผ่านเข้าสู่รอบ 4 ไปเปิดบ้านต้อนรับ คาร์ดิฟฟ์ ทีมจากเดอะแชมเปี้ยนชิพกันต่อไป
ด้าน “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล จอดป้ายเพียงแค่รอบ 3 เท่านั้น เพราะพลาดท่าบุกไปแพ้ “เจ้าป่า” น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทีมจากเดอะแชมเปี้ยนชิพ ที่ซิตี้ กราวน์ด 0-1 เกมนี้ มิเกล อาร์เตต้า กุนซือ อาร์เซนอล หายป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 กลับมาคุมทีมได้อีกครั้ง และให้พวกตัวสำรองลงไปเล่นกับแข้งเด็กหลายคนเลย ไม่ว่าจะเป็น ชาร์ลี ปาติโน่, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ โดยเจ้าบ้านมาได้ประตูชัยจาก เลวิส แกร็บบาน ในนาที 83 ทำให้ “เจ้าป่า” ได้ตบเท้าเข้าสู่รอบ 4 ไปเปิดบ้านต้อนรับ “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ แชมป์เก่าจากเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
ส่วน “ไก่เดือยทอง” สเปอร์ส พลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายเข้ารอบได้สำเร็จ หลังเปิดรังท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ สเตเดี้ยม เอาชนะ มอร์แคมป์ ทีมจากลีก วัน 3-1 แม้ทีมเยือนจะได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจาก แอนโธนี่ โอคอนเนอร์ ในนาที 33 แต่เจ้าบ้านยิงแซงในช่วงครึ่งหลัง 3 ประตูรวดจาก แฮร์รี่ วิงค์ส ในนาที 74, ลูคัส มูร่า ในนาที 85 และ แฮร์รี่ เคน ในนาที 88 ทำให้ “ไกเดือยทอง” ได้ผ่านเข้ารอบ 4 ไปเฝ้ารังดวลแข้งกับ ไบรท์ตัน ทีมจากพรีเมียร์ลีกเหมือนกัน