ศึกฟุตบอลเอฟเอ คัพ รอบ 3 เมื่อคืนวันที่ 7 ม.ค. “เรือใบสีฟ้า” แมนฯ ซิตี้ ต้องยกพลบุกไปเยือน สวินดอน ที่เดอะ เคาน์ตี้ กราวนด์ เกมนี้ทีมเยือนไม่มีกุนซือ “เป๊ป” โจเซฟ กวาร์ดิโอล่า ติดเชื้อโควิด-19 จึงต้องให้ โรดอฟโฟ่ บอร์เรลล์ คุมทีมข้างสนามไปก่อน แต่ยังให้พวกแข้งดังลงสนามหลายคนเลย ไม่ว่าจะเป็น เควิน เดอ บรอยน์, กาเบรียล เชซุส และ แบร์นาร์โด ซิลวา ด้านเจ้าบ้านของกุนซือ เบน เกเมอร์ จัดผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามไปเลย นำทัพโดย เอลลิส แลนโดโล่, ไคลน์ เคสเลอร์, แฮร์รี่ แมคเคอร์ดี้ และ ไทรีซ ซิมป์สัน
ในช่วงครึ่งแรก “เรือใบสีฟ้า” ออกนำไปก่อน 2 ประตูรวดจาก แบร์นาร์โด้ ซิลวา ในนาที 14 และ กาเบรียล เชซุส ในนาที 28 เข้าสู่ครึ่งหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยิงเพิ่มได้อีกเม็ดจาก อิลคาย กุนโดกาน ในนาที 59 หลังจากนั้นเจ้าบ้านยิงตีไข่แตกไล่ตามมาได้จาก แฮร์รี่ แมคเคอร์ดี้ ในนาที 78 ทว่าเจ้าบ้านมาซัดลูกปิดท้ายได้จาก โคล พัลเมอร์ ในนาที 82 หมดเวลาการแข่งขัน “เรือใบสีฟ้า” เป็นฝ่ายบุกไปชนะ 4-1 จึงได้ตบเท้าผ่านเข้าสู่รอบ 4 ได้เป็นทีมแรกไปเลย
หลังจบเกม โรดอฟโฟ่ บอร์เรลล์ ผู้ช่วยของกุนซือ โจเซฟ กวาร์ดิโอล่า ซึ่งรับหน้าที่คุมทีมในนัดนี้พอใจผลงานของลูกทีมที่เล่นกันได้ตามเป้า แม้จะมีความผิดพลาดในแนวรับจากจังหวะที่เสียประตู แต่ถูกชดเชยด้วยแนวรุกที่เฉียบคมจากการยิงได้ถึง 4 ลูก และได้กล่าวชื่นชมฝีเท้าของ โคล พัลเมอร์ นักเตะดาวรุ่งจากทีมเยาวชนที่สามารถพัฒนาฝีเท้าได้แบบต่อเนื่องเลย
ด้าน เบน การ์เนอร์ กุนซือ สวินดอน ทาวน์ รู้สึกภูมิใจลูกทีมที่สู้แบบเต็มที่แล้ว แต่ด้วยศักยภาพที่เป็นรองทีมเยือนอยู่เยอะเลย จึงเป็นฝ่ายแพ้คาบ้านแล้วจอดป้ายเพียงแค่รอบนี้เท่านั้น แต่คงเป็นเพราะโชคร้ายที่ถูกจับสลากให้ต้องมาดวลแข้งกับทีมสุดแกร่งอย่าง แมนฯ ซิตี้ ด้วย ส่วนหลังจากนี้ต้องหันกลับไปมุ่งมั่นในเกมลีก ทู หรือดิวิชั่น 4 ของอังกฤษกันต่อไป