ศึกฟุตบอลเอฟเอ คัพ รอบ 4 เมื่อคืนวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา “ปีศาจแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดรังโอลด์ แทรฟฟอร์ด ต้อนรับการมาเยือนของ “สิงห์แดง” มิดเดิ้ลสโบรช์ เกมนี้ ราล์ฟ รังนิค กุนซือเจ้าบ้านส่งพวกแข้งหลักลงสนามเกือบยกทีม โดยให้ ปอล ป็อกบา กลับมาลงเล่นเป็นตัวจริงครั้งแรกในรอบหลายเดือน ส่วนแนวรุกยังคงมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นตัวชูโรงพร้อมประสานงานกับ จาดอน ซานโซ่, บรูโน่ แฟร์นันเดส และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ด้านทีมเยือนของกุนซือ คริส ไวล์เดอร์ จัดทีมชุดใหญ่ลงสนาม นำทัพโดย พาทริค แม็คแนร์ อดีตเด็กปั้นเจ้าถิ่น, โจนาธาน ฮอว์สัน, มาร์คัส ทาเวอร์เนียร์ และ โฟลาริน บาโลกัน กองหน้าดาวรุ่งที่ยืมตัวมาจาก “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล นั่นเอง
ในช่วงครึ่งแรก “ปีศาจแดง” มีโอกาสได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจากลูกจุดโทษในนาที 20 แต่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สังหารพลาดจากการยิงหลุดเสาออกไปเอง หลังจากนั้นเจ้าบ้านออกไปก่อนได้สำเร็จจาก จาดอน ซานโซ่ ในนาที 25 เข้าสู่ครึ่งหลัง มิดเดิ้ลสโบรช์ ตามตีเสมอได้จาก แมตต์ ครู้กส์ ในนาที 64 จบ 90 นาที เสมอ 1-1 จึงต้องเล่นช่วงต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาทีเพื่อตามหาผู้ชนะกันต่อไป แต่ในช่วงต่อเวลาพิเศษไม่มีสกอร์เพิ่มเติม ครบ 120 นาที เสมอ 1-1 จึงต้องดวลจุดโทษตัดสินเพื่อหาทีมเข้ารอบ และเป็นฝ่าย แมนฯ ยูไนเต็ด พลาดท่าแพ้ 7-8 โดย 7 คนแรกของทั้งสองฝ่ายยิงเข้าทั้งหมด แต่เจ้าบ้านมาซัดพลาดคนที่ 8 นั่นก็คือ แอนโธนี่ เอลังก้า ยิงโด่งข้ามคานไปเลย ทำให้ มิดเดิ้ลสโบรช์ ได้ทะลุเข้าสู่รอบ 5 หรือรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปเลย
หลังจบเกม ราล์ฟ รังนิค กุนซือ “ปีศาจแดง” ยอมรับว่าผิดหวังลูกทีมที่ทิ้งโอกาสยิงประตูฝังทีมเยือนไปทั้งหมด เพราะว่าเกมนี้มีโอกาสลุ้นสอยตาข่ายได้มากกว่า 20 ครั้ง จึงควรจะยิงหนีห่างได้มากกว่าหนึ่งลูกในช่วงหลังจากออกนำไปแล้ว แต่กลับยิงนกตกปลาออกไปเองทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นยิงชนเสา ชนคาน แถมยังยิงจุดโทษไม่เข้าอีกต่างหาก และแสดงความไม่เข้าใจว่าทำไมจังหวะที่ ดันแคน วัตมอร์ นักเตะทีมเยือนจับบอลแล้วเด้งโดนมือตัวเองก่อนจะกระดกบอลให้ แม็ตต์ ครูกส์ ยิงเข้าไปแบบจ่อๆ ไม่เป็นลูกแฮนด์บอล ทั้งๆ ที่ลูกบอลโดนมือแบบชัดเจน แต่ VAR กลับยืนยันให้ลูกดังกล่าวเป็นประตูแบบค้นสายตาหลายคนเป็นอย่างมาก