ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันที่ 12 ก.พ. “เรือใบสีฟ้า” แมนฯ ซิตี้ บุกไปเยือน “นกขมิ้น” นอริช ที่คาร์โรว์ โร้ด เกมนี้ “เป๊ป” โจเซฟ กวาร์ดิโอล่า กุนซือเจ้าบ้านปรับทัพบางตำแหน่ง โดยแนวรุกให้ ฟิล โฟเด้น ลงไปประสานงานร่วมกับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ ริยาด มาห์เรซ ส่วนเจ้าบ้านของกุนซือ ดีน สมิธ ให้พวกแข้งหลักออกสตาร์ทเป็นตัวจริงทั้งหมด นำทัพโดย ปิแอร์-ลีส์ เมอลู, มิล็อท ราชิก้า, จอช ซาร์เจนท์ และ ติมู ปุ๊กกี้
ในช่วงครึ่งแรก “เรือใบสีฟ้า” ขึ้นนำไปก่อนจาก ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ในนาที 31 และจบ 45 นาทีเป็นฝ่ายเจ้าบ้านออกนำ 1-0 เข้าสู่ครึ่งหลัง แมนฯ ซิตี้ ยิงเพิ่มได้อีก 3 ประตูจากฟิล โฟเด้น ในนาที 48 และอีก 2 เม็ดของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ในนาที 70, 90 จึงเป็นการเหมาซัด “แฮตทริก” คนเดียวถึง 3 ประตูไปเลยด้วย หมดเวลาการแข่งขัน “เรือใบสีฟ้า” เป็นฝ่ายชนะ 4-0 ไม่พบกับความพ่ายแพ้ในศึกพรีเมียร์ลีกมาแล้วถึง 15 เกมติดต่อกัน และยังคงนำโด่งเป็นจ่าฝูงต่อไป แข่ง 25 นัด มี 63 คะแนน นำหน้า “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทีมอันดับ 2 ห่างถึง 12 แต้ม แต่ลงเตะมากกว่า 2 เกม ส่งวน นอริช อยู่อันดับ 18 แข่ง 24 นัด มี 17 คะแนน
หลังจบเกม โจเซฟ กวาร์ดิโอล่า กุนซือ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอ่ยปากชมลูกทีมเล่นกันได้แบบเข้าฝัก โดยเฉพาะ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง แนวรุกตัวเก่งที่ยังคงไว้วางใจฝีเท้าได้เหมือนเดิม และยืนยันว่าทีมของพวกเขาจำเป็นต้องเก็บคะแนนให้ได้อีกเยอะเลย เพื่อจะได้เข้าป้ายแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ไปเลย เพราะว่าทีมคู่แข่งที่ไล่ตามหลังมาอย่าง ลิเวอร์พูล คงจะไม่พลาดง่ายๆ ในเกมที่เหลืออย่างแน่นอน แม้ว่า เจอร์เกน คลอปป์ กุนซือ “หงส์แดง” จะเคยบอกว่าไม่ได้คิดถึงเรื่องลุ้นแชมป์ แต่ด้วยความที่โค้ชชาวเยอรมันมีเลือดนักสู้อยู่เต็มเปี่ยม จึงมั่นใจว่าไม่คิดจะถอดใจยอมรับแบบง่ายๆ อยู่แล้ว
สรุปผลฟุตบอลพรีเมียร์ลีก
แมนฯ ยูไนเต็ด เสมอ เซาแธมป์ตัน 1-1
เบรท์ฟอร์ด เสมอ คริสตัล พาเลซ 0-0
วัตฟอร์ด แพ้ ไบรท์ตัน 0-2
เอฟเวอร์ตัน ชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 3-0
นอริช แพ้ แมนฯ ซิตี้ 0-4