ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดแรก
แมนฯ ซิตี้ VS แอต.มาดริด
สนาม : อิติฮัด สเตเดี้ยม
เวลา : 02.00 น.
แมนฯ ซิตี้
ผลงาน 5 นัดหลังสุด
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 4-1 (เหย้า)
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 : เสมอ สปอร์ติ้ง ลิสบอน 0-0 (เหย้า)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : เสมอ คริสตัล พาเลซ 0-0 (เยือน)
เอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย : ชนะ เซาแธมป์ตัน 4-1 (เยือน)
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : ชนะ เบิร์นลีย์ 2-0 (เยือน)
“เป๊ป” โจเซฟ กวาร์ดิโอล่า กุนซือ “เรือใบสีฟ้า” จะปรับทัพจากเกมล่าสุดที่บุกไปชนะ เบิร์นลีย์ 2-0 ในศึกพรีเมียร์ลีก แม้จะยังมีปัญหาเรื่องเกมรับ เพราะยังไร้ รูเบน ดิอาส เจอโรคเดี้ยงเล่นงานแบบยาวๆ แต่ไม่มีปัญหาสำหรับการจัดทัพ เพราะมีนักเตะฝีเท้าดีให้เลือกใช้งานหลายคนเลย โดยเฉพาะแนวรุกที่สามารถปรับเปลี่ยนได้หลายแบบเลย แต่น่าจะเน้นขึ้นเกมบุกทางริมเส้นเป็นหลักเหมือนเดิม
11 ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนามเป็นตัวจริงตามแผนการเล่นแบบ 4-3-3
เอแดร์ซอน โมราเอส, นาธาน อาเก้, จอห์น สโตนส์, อายเมริก ลาปอร์ก, เจา คันเซโล่, เควิน เดอ บรอยน์, โรดรี้, แบร์นาร์โด้ ซิลวา, ริยาด มาห์เรซ, ฟิล โฟเด้น, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง
ผู้รักษาประตู : ยังคงเป็นหน้าที่ของมือหนึ่ง นั่นก็คือ เอแดร์ซอน โมราเอส เหมือนเดิม
แนวรับ : ยังคงไร้ ไคล์ วอล์กเกอร์ ติดโทษแบนเป็นนัดสุดท้ายจากทั้งหมด 3 เกม จึงน่าจะให้ นาธาน อาเก้ ลงไปสวมบทเป็นแบ็กขวาคนละฝั่งกับ เจา คันเซโล่ ทางฝั่งซ้าย ส่วนคู่กองหลังยังคงไร้ รูเบน ดิอาส ได้รับบาดเจ็บ จึงพร้อมให้ จอห์น สโตนส์ กับ อายเมริก ลาปอร์ก ยืนคู่กันเหมือนเดิม
แดนกลาง : อาจจะมีการปรับทัพบางตำแหน่ง โดยจะให้ โรดรี้ ยืนเป็นตัวคุมเกม และน่าจะพัก อิลคาย กุนโดกาน เพื่อให้ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ลงไปประสานงานกับ เควิน เดอ บรอยน์ เป็นตัวขับเคลื่อนเกมในแผงมิดฟิลด์ที่พร้อมเติมบุกขึ้นไปช่วยยิงประตูจากแถวสองได้ทุกเมื่อเลย
แนวรุก : น่าจะมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย คาดว่าจะดร็อป แจ็ค กรีลิช รวมถึง กาเบรียล เชซุส เพราะไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุด เพื่อให้ ริยาด มาห์เรซ ลงไปสวมบทเป็นปีกซ้าย และให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ยืนปั้นเกมทางขวาเหมือนเดิม หลังโชว์ฟอร์มแจ่มจากการจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมยิงประตูได้ถึง 2 แอสซิสต์ในเกมล่าสุด ส่วนกองหน้าพร้อมขยับ ฟิล โฟเด้น ไปยืนค้ำเอาไว้อีกหนึ่งเกม
แอต.มาดริด
ผลงาน 5 นัดหลังสุด
ลาลีกา สเปน : ชนะ เรอัล เบติส 3-1 (เยือน)
ลาลีกา สเปน : ชนะ กาดิช 2-1 (เหย้า)
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 : ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0 (เยือน)
ลาลีกา สเปน : ชนะ ราโย่ บัลเยกาโน่ 1-0 (เยือน)
ลาลีกา สเปน : ชนะ เดปอร์ติโบ อลาเบส 4-1 (เหย้า)
ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ กุนซือ “ตราหมี” จะปรับทัพจากเกมล่าสุดที่เปิดบ้านชนะ เดปอร์ติโบ อลาเบส 4-1 ในศึกลาลีกา หลังตามหาฟอร์มเก่งเจอแล้ว และได้ขยับขึ้นไปรั้งบนหัวตารางคะแนนอีกครั้ง จึงพร้อมจัดผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามแน่นอน เพราะว่าหมดสิทธิ์ใช้งาน เฮคตอร์ แฮร์เรร่า ได้รับบาดเจ็บเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ยังคงมี โกเก้ เป็นแกนหลักในแดนกลาง เช่นเดียวกับแนวรุกที่พร้อมให้ เจา เฟลิกซ์ ยืนค้ำในแดนหน้า
11 ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนามเป็นตัวจริงตามแผนการเล่นแบบ 4-4-2
แยน โอบลัค, ซิเม่ เวอร์ซัลจ์โก้, สเตฟาน ซาวิช, เฟลิเป้, เรนาน โลดี้, มาร์กอส ยอเรนเต้, เจฟฟรีย์ ก็องดองเบีย, โกเก้, โธมัส เลอมาร์, หลุยส์ ซัวเรซ, เจา เฟลิกซ์
ผู้รักษาประตู : พร้อมให้ แยน โอบลัค ยืนเฝ้าเสาในฐานะมือหนึ่งตามเดิม
แนวรับ : ยังต้องรอเช็กสภาพความฟิตของ โฆเซ่ ฆิมิเนซ แต่น่าจะให้ สเตฟาน ซาวิช กับ เฟลิเป้ ลงไปยืนเป็นกองหลังคู่กัน ส่วนแบ็กซ้ายเป็นหน้าที่ของ เรนาน โลดี้ ซึ่งจะยืนคนละด้านกับ ซิเม่ เวอร์ซัลจ์โก้ ในตำแหน่งแบ็กขวา
แดนกลาง : พร้อมให้ เจฟฟรีย์ ก็องดองเบีย ยืนคุมเกมร่วมกับ โกเก้ ในตำแหน่งตัวคุมเกมในแผงมิดฟิลด์ เพราะไม่น่าจะใช้งาน โรดริโก้ เดอ ปอล แต่จะหมดสิทธิ์ใช้งาน ยานนิค การ์ราสโก้ ติดโทษแบนเป็นนัดสุดท้ายจากทั้งหมด 3 เกม จึงน่าจะให้ โธมัส เลอมาร์ ลงไปสวมบทเป็นปีกซ้าย และให้ มาร์กอส ยอเรนเต้ ทำหน้าที่เป็นปีกขวา
กองหน้า : น่าจะดร็อป อองตวน กรีซมันน์, มาเธอุส คุนญ่า รวมถึง อังเคล คอร์เรอา เป็นตัวสำรองไปก่อน เพื่อให้ หลุยส์ ซัวเรซ ยืนเป็นกองหน้าคู่กับ เจา เฟลิกซ์ ซึ่งกลับมายิงประตูได้แบบต่อเนื่องเลย
สถิติการพบกันเอง
คู่นี้ไม่เคยเผชิญหน้าในเกมระดับสโมสรยุโรปแม้แต่นัดเดียว จึงจะเป็นการเจอกันครั้งแรกไปโดยปริยาย โดยก่อนหน้านี้ แมนฯ ซิตี้ เคยดวลแข้งกับทีมคู่แข่งจากสเปนทั้งหมด 21 เกม ปรากฎว่า “เรือใบสีฟ้า” มีสถิติที่ไม่ได้เหนือกว่าจากการคว้าชัยได้ 8 เกม เสมอ 4 เกม และแพ้ 9 เกม สำหรับนัดล่าสุดที่พบกับทีมลูกหนังจากเมืองกระทิงดุคือเกมที่เปิดบ้านต้อนรับ เรอัล มาดริด ซึ่งเป็นทีมคูปรับร่วมเมืองเดียวกับ แอต.มาดริด ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 เมื่อปี 2021 ปรากฎว่า แมนฯ ซิตี้ เป็นฝ่ายชนะ 2-1
ส่วน “ตราหมี” เคยดวลแข้งกับทีมคู่แข่งจากอังกฤษทั้งหมด 40 เกม ปรากฎว่า แอต.มาดริด มีสถิติเหนือกว่า โดยเป็นฝ่ายชนะ 15 นัด เสมอ 16 นัด และแพ้ 9 นัด แถมยังเพิ่งได้ดวลแข้งกับทีมคู่แข่งจากอังกฤษในนัดล่าสุดมาหมาดๆ นั้นก็คือเกมที่บุกไปเฉือนชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 เมื่อเดือนก่อนนั่นเอง
ความน่าจะเป็น
ตอนนี้ แมนฯ ซิตี้ ยังคงมีลุ้นคว้า 3 แชมป์ในฤดูกาลนี้ ไล่ตั้งแต่ แชมป์พรีเมียร์ลีก, แชมป์เอฟเอ คัพ และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งหมายมั่นปั้นมืออยากยึดบัลลังก์ “เจ้าสโมสรยุโรป” เป็นครั้งแรกให้ได้เสียที หลังจากที่ทำได้ดีที่สุดเพียงรองแชมป์จากเมื่อฤดูกาลก่อน เพราะพลาดท่าแพ้ เชลซี ในนัดชิงนั่นเอง จึงพร้อมจัดผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามแน่นอน เพราะไม่อยากจะพลาดท่าตกรอบก่อนเวลาอันควร เพื่อจะได้รักษาโอกาสลุ้นแชมป์รายการนี้ต่อไป หลังจากที่พยายามกันมานานหลายฤดูกาลแล้ว
ส่วน แอต.มาดริด เคยมีช่วงฟอร์มแย่อยู่นานพอสมควร แต่ตอนนี้เรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมาได้แล้ว และสามารถเก็บชัยชนะได้แบบรัวๆ แถมยังเพิ่งเขี่ย แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นทีมคู่ปรับร่วมเมืองเดียวกับ แมนฯ ซิตี้ ตกรอบที่แล้วได้ด้วย โดย “ตราหมี” ได้เผชิญหน้ากับทีมลูกหนังจากเกาะอังกฤษมาแบบต่อเนื่องเลย และได้สร้างความยากลำบากให้กับทีมลูกหนังจากเมืองผู้ดีเป็นประจำเลยด้วย
คาดว่า “เรือใบสีฟ้า” ต้องเจอกับงานหนักอย่างแน่นอน เนื่องจาก “ตราหมี” เป็นทีมที่เล่นกันได้แบบเหนียวแน่น แต่เจ้าถิ่นเป็นทีมที่เล่นในบ้านได้อย่างแข็งแกร่ง และมีนักเตะระดับดาวดังให้เลือกใช้งานเพื่อลงไปช่วยพลิกเกมได้หลายคนเลย จึงน่าจะเป็นฝ่ายเบียดเก็บชัยชนะได้แบบหวุดหวิด
ผลที่คาด : แมนฯ ซิตี้ ชนะ แอต.มาดริด 2-1