ถ้าว่าไปแล้ว ยูเวนตุส มีจังหวะจะโคนในช่วงฤดูกาลนี้เปรียบเหมือนกับการขึ้น “รถไฟเหาะตีลังกา” ได้เลย เพราะว่ามีช่วง “ขาขึ้น” และ “ขาลง” แบบสลับกันไป แต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นในทิศทางลบเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลงานในสนาม รวมถึงเรื่องของ “วิบากกรรม” จากการกระทำผิดนอกสนาม ซึ่งส่งผลกระทบต่ออันดับบนตารางคะแนนกัลโช่ เซเรีย อา ไปแบบเต็มๆ เลยด้วย ไล่ตั้งแต่เรื่องของการโชว์ฟอร์มในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ได้ไม่ดีเลย และจอดป้ายเพียงแค่รอบแบ่งกลุ่มในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีกต่างหาก จึงมีเสียงเรียกร้องจากแฟนบอลไปถึง มักซิมิเลียโน่ อัลเลกรี่ กุนซือคนคุ้นเคยที่ได้หวนกลับมาคุมทีมเป็นรอบที่ 2 ตั้งแต่เมื่อช่วงซีซั่นก่อนแสดงสปิริตด้วยการยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบผลงานที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย และได้ส่งเสียงไปถึงบอร์ดบริหารสโมสรให้พิจารณาปลดออกจากตำแหน่งไปเลยด้วย แม้จะเป็นคนที่เคยสร้างความสำเร็จให้กับทีมมาก่อนก็ตาม แต่บอร์ดบริหารสโมสรกลับมีทีท่าว่ายังคงไว้วางใจในตัวของโค้ชวัย 55 ปีเหมือนเดิม และไม่คิดจะเปลี่ยนตัวกุนซือแบบกลางคันเหมือนอย่างที่กองเชียร์เรียกร้องเลยด้วยซ้ำ
ทำให้ ยูเวนตุส ต้องหวนกลับมากระเด็นตกรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีเลยด้วย โดยหนล่าสุดที่ต้องจอดป้ายรอบแบ่งกลุ่มเกิดขึ้นเมื่อช่วงฤดูกาล 2013/2014 แต่ครั้งนี้ถือว่าย่ำแย่แบบสุดๆ เพราะเพิ่งเก็บได้เพียงแค่ 3 คะแนนจากการลงสนามครบทั้ง 6 เกม จึงถือว่าเป็นการเก็บคะแนนจากเกมรอบแบ่งกลุ่มได้น้อยที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรเลยด้วย และเป็นครั้งแรกที่พบกับความพ่ายแพ้ในรอบแบ่งกลุ่มถึง 4 นัดเลยด้วย แต่ว่าสามารถจบด้วยอันดับ 3 จึงได้คว้าตั๋วลงไปเล่นในถ้วย “เบอร์สอง” ของทวีปยุโรป นั่นก็คือ ยูฟ่า ยูโรปาลีก เพราะว่าเหนือกว่า มัคคาบี้ ไฮฟา ทีมรองบ่อนจากอิสราเอลในเรื่องของผลต่างประตูได้เสียเท่านั้นเอง แม้จะมี 3 คะแนนเท่ากันพอดีเลยก็ตาม แต่สุดท้าย “ม้าลาย” ไปไม่ถึงตำแหน่งแชมป์ยูฟ่า ยูโรปาลีก ด้วยเช่นกัน เพราะพลาดท่าแพ้ เซบีญ่า ทีมแชมป์ตอนช่วงบั้นปลายในรอบรองชนะเลิศนั่นเอง
หากจะว่าไปแล้ว ยูเวนตุส ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสโมสรที่สามารถผ่านเข้ารอบลึกๆ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ตลอดเลย และเคยผ่านเข้าถึงนัดชิงได้ทั้งหมด 9 ครั้งเลยด้วย แต่กลับสร้างสถิติที่ไม่น่าจดจำในฐานะ “เจ้าพ่อรองแชมป์” เพราะยังคงเป็นเจ้าของสถิติพบกับความพ่ายแพ้ในเกมนัดชิงเจ้าสโมสรยุโรปมากที่สุด จึงได้เข้าป้ายรองแชมป์มาแล้วถึง 7 ครั้งนับตั้งแต่เมื่อตอนสมัยที่ยังใช้ชื่อการแข่งขันว่า ยูโรเปี้ยน คัพ อยู่เลยด้วย โดย “ม้าลาย” เคยเป็นฝ่ายสมหวังในนัดชิงจากการยึดบัลลังก์ “เจ้าสโมสรยุโรป” ได้ทั้งหมด 2 ครั้ง ไลตั้งแต่ครั้งแรกในปี 1986 เป็นฝ่ายเฉือนชนะ ลิเวอร์พูล 1-0 และครั้งที่ 2 ในปี 1995 เป็นฝ่ายเฉือนชนะ อาแจ๊กซ์ ในช่วงดวลจุดโทษตัดสิน แต่ต้องพบกับความพ่ายแพ้ในนัดชิงถึง 7 ครั้งเลยทีเดียว ไล่ตั้งแต่ในปี 1973 เป็นฝ่ายแพ้ อาแจ๊กซ์ 0-1, ในปี 1983 เป็นฝ่ายแพ้ ฮัมบูร์ก 0-1, ในปี 1997 เป็นฝ่ายแพ้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 1-3, ในปี 1998 เป็นฝ่ายแพ้ เรอัล มาดริด 0-1, ในปี 2003 เป็นฝ่ายแพ้ เอซี มิลาน ในช่วงดวลจุดโทษตัดสิน, ในปี 2015 เป็นฝ่ายแพ้ บาร์เซโลน่า 1-3 และในปี 2017 เป็นฝ่ายแพ้ เรอัล มาดริด 1-4
แม้ว่าหลังจากนั้น “ม้าลาย” จะสามารถคืนฟอร์มเก่ง จึงได้หวนกลับไปเกาะกลุ่มบนหัวตารางคะแนนลีกสูงสุดเมืองมะกะโรนีได้สำเร็จ แต่กลับเจอมรสุมจากเรื่องที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีทุจริต เพราะถูกจับได้ว่ามีการลงมือตกแต่งตัวเลขในบัญชีของสโมสร โดย สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี หรือ FIGC มีหลักฐานระบุว่าทัพลูกหนัง “ม้าลาย” ได้ปลอมแปลงตัวเลขในบัญชีรายรับจากการซื้อขายนักเตะเมื่อช่วงระหว่างปี 2019-2021 เป็นจำนวน 60 ล้านยูโร เพื่อผลประโยชน์ในเรื่องของการเงิน และไม่ให้ตัวเลขในบัญชีติดลบเป็นสีแดงนั่นเอง จึงถือว่าเป็นการกระทำผิดจากโทษฐานที่มีการรายงานมูลค่าของสโมสรไม่ตรงกับความจริง ทำให้ สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี ตัดสินลงโทษบรรดาผู้บริหารของ ยูเวนตุส ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแบบถ้วนหน้าด้วยการสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวกับวงการฟุตบอลตั้งแต่เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา และออกคำสั่งตัดคะแนนทัพลูกหนัง “ม้าลาย” มากถึง 15 แต้มเลยทีเดียว จึงต้องหล่นจากกลุ่มหัวแถวลงไปอยู่ตรงกลางตารางคะแนนทันที แต่ ยูเวนตุส ไม่ยอมแพ้ให้กับวิบากกรรมที่เกิดขึ้น เพราะได้ตัดสินใจยื่นเรื่องอุทธรณ์ไปถึง คณะกรรมการโอลิมปิกอิตาลี หรือ CONI ซึ่งเป็นองค์กรกีฬาที่ใหญ่ที่สุดของเมืองมะกะโรนี เพื่อให้มีการพิจารณาคดีกันอีกครั้ง และเป็นฝ่ายได้รับข่าวดีไปแบบเต็มๆ เพราะมีคำสั่งให้ระงับโทษตัดคะแนนเอาไว้ก่อน จึงได้ 15 แต้มที่ถูกตัดไปกลับคืนมาทั้งหมดเลย
ทำให้ “ม้าลาย” ได้ขยับขึ้นไปเกาะกลุ่มบนหัวตารางคะแนนอีกครั้ง และเตรียมได้เกาะกลุ่ม “ท็อปโฟร์” ใน 4 อันดับแรกเพื่อคว้าสิทธิ์ไปโชว์ฝีเท้าในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ช่วงฤดูกาลหน้าด้วยเช่นกัน แต่สุดท้าย ยูเวนตุส กลับไม่พ้นจากบ่วงกรรมที่ได้ก่อเอาไว้ เนื่องจาก สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี ได้ยื่นเรื่องฟ้องต่อ ศาลอุทธรณ์กลาง เพื่อเอาผิดให้ได้ตามหลักฐานที่มีอยู่ และมีคำตัดสินให้ลงโทษตัด 10 คะแนนทันทีเลยด้วย ทำให้ “ม้าลาย” ต้องจำใจหล่นจากกลุ่ม “ท็อปโฟร์” ลงไปอยู่อันดับ 7 แบบใกล้หมดสิทธิ์คว้าโควตากลับไปเล่นในในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ช่วงซีซั่นหน้าเต็มแก่ และต้องเตรียมลดระดับลงไปเล่นในถ้วยรองลงมา เพราะได้ตั๋วไปเล่นในศึกยูฟ่า ยูโรปา คอนเฟเรนซ์ลีก ในช่วงฤดูกาลหน้าเท่านั้น หลังจบด้วยอันดับ 7 ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา ประจำฤดูกาล 2022/2023 นั่นเอง นอกจากนี้ ยูเวนตุส ยังต้องพบกับช่วงเวลาแห่งความว่างเปล่าจากการไร้ถ้วยแชมป์ติดมืออีกหนึ่งฤดูกาลนั่นเอง
ส่วนในรายของ ปอล ป็อกบา ยังไม่พ้นวิบากกรรมจากเรื่องของอาการบาดเจ็บเสียที เพราะว่านับตั้งแต่ย้ายมาจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพื่อกลับมาร่วมทัพ “ม้าลาย” เป็นรอบที่ 2 เมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว ปรากฎว่าดาวเตะชาวเมืองน้ำหอมต้องเจอโรคเดี้ยงตามเล่นงานตั้งแต่ช่วงปรีซีซั่น และต้องหยุดพักรักษาอาการบาดเจ็บมาโดยตลอดเลยด้วย จึงชวดติดโผไปรับใช้ทีมชาติฝรั่งเศสในศึกฟุตบอลโลก 2022 เมื่อช่วงปลายปีก่อนแบบน่าเสียดายเหลือเกิน แม้จะเพิ่งหายเจ็บกลับมาลงสนามเป็นตัวจริงครั้งแรกในรอบ 13 เดือน แต่ว่าได้ลงเล่นในเกมที่เปิดบ้านชนะ เครโมเนเซ่ 2-0 เพียงแค่ 20 กว่านาทีเท่านั้น เพราะว่าเจอโรคเดี้ยงเล่นงานซ้ำตรงบริเวณต้นขา จึงต้องหยุดพักรักษาตัวอีกครั้ง และหมดสิทธิ์ลงสนามในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้เรียบร้อยแล้วด้วย นอกจากนี้ ป็อกบา ยังต้องเจอ “วิบากกรรม” จากเรื่องนอกสนาม เพราะว่าโดน มาธีอัส ป็อกบา พี่ชายแท้ๆ ของตัวเองร่วมมือกับแก๊งค์อันธพาล เพราะต้องการแบล็คเมล์น้องชายเพื่อหวังกรรโชกเป็นเงินก้อนใหญ่จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเมื่อช่วงปลายปีก่อนไปด้วยเลย ซึ่งส่งผลกระทบต่อเรื่องของสภาพจิตใจของดาวเตะวัย 30 ปีด้วยเช่นกัน จึงได้แต่หวังว่า ยูเวนตุส รวมถึง ป็อกบา จะพ้นจากวิบากกรรมต่างๆ แบบ “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด” เพื่อจะได้กลับมาพบเจอแต่เรื่องดีๆ ในช่วงหลังจากที่คลื่นลมของมรสุมได้สงบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว